Halaman ini mungkin berisi konten pihak ketiga, yang disediakan untuk tujuan informasi saja (bukan pernyataan/jaminan) dan tidak boleh dianggap sebagai dukungan terhadap pandangannya oleh Gate, atau sebagai nasihat keuangan atau profesional. Lihat Penafian untuk detailnya.
Prinsip Ekonomi Berkelanjutan: Kerangka Pemikiran untuk Keberlanjutan Orang Thailand
เศรษฐกิจพอเพียง เป็นแนวทางการดำเนินชีวิตที่ฝังรากลึกในวัฒนธรรมไทยมานานกว่าสามทศวรรษ โดยเป็นพระราชดำรัสสำคัญที่ชี้นำให้ประชาชนทุกชั้นสามารถพัฒนาตนเองและสังคมอย่างสมดุล ปัจจุบันนี้แนวคิดนี้ยิ่งมีความสำคัญมากขึ้นเนื่องจากสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในทุกด้านของชีวิต ตั้งแต่ระดับครัวเรือนจนถึงระดับประเทศชาติ
ความหมายของเศรษฐกิจพอเพียง
เศรษฐกิจพอเพียง (Sufficiency Economy) หมายถึง ระบบการคิดและการกระทำที่มีจุดเน้นในการให้ประชาชนสามารถพึ่งตนเองได้ อาศัยหลักการของความพอประมาณและความเป็นเหตุผล โดยไม่ต้องให้ผู้อื่นเดือดร้อน
ในนิยามที่เจาะจงมากขึ้น “พอเพียง” หมายความว่า การดำเนินชีวิตต้องสมดุลระหว่างความต้องการและความสามารถ ตัวอย่างเช่น การทำงานเพื่อสร้างรายได้ด้วยวิธีสุจริต การใช้จ่ายตามความจำเป็นจริง และการมีการวางแผนเผื่อรับมือกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้น
กรอบแนวคิดดังกล่าวมีความสอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนไทยที่เรียบง่าย ซึ่งมีพื้นฐานมาจากการพึ่งพาตนเองและการออมตัดสินใจด้วยสติปัญญา นโยบายดังกล่าวเปรียบเสมือนเกราะป้องกันที่ทำให้เรารับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมได้อย่างมั่นคง
สารัสถานสำคัญของเศรษฐกิจพอเพียง: 3 ห่วง 2 เงื่อนไข
หัวใจสำคัญของปรัชญานี้ประกอบด้วยหลักการพื้นฐานที่เรียกว่า 3 ห่วง 2 เงื่อนไข ซึ่งเป็นกรอบการคิดที่ครอบคลุมทุกมิติของการดำเนินชีวิต
3 ห่วง
ความพอประมาณ คือ การบริหารจัดการให้เกิดความสมดุลทั้งด้านรายได้และการใช้จ่าย การหารายได้ต้องสุจริตโดยไม่เบียดเบียนผู้อื่น การใช้จ่ายต้องสอดคล้องกับฐานะความเป็นอยู่ของตนเอง หลีกเลี่ยงการใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยหรือการกู้ยืมเกินความจำเป็น
ความมีเหตุผล หมายถึง การตัดสินใจทำสิ่งต่างๆ ด้วยการวิเคราะห์อย่างรอบคอบ เช่น ก่อนเริ่มธุรกิจต้องศึกษาวางแผน ประเมินศักยภาพของตนเอง และคำนึงถึงสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ไม่ควรตัดสินใจเพราะอารมณ์หรือแนวโน้มชั่วขณะ
การมีระบบภูมิคุ้มกัน คือ การเตรียมความพร้อมในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น เช่น การขาดการผลผลิต ความล้มเหลว หรือผลกระทบจากภายนอก ระบบนี้ช่วยให้เราสามารถปรับเปลี่ยนและดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างมั่นคง
2 เงื่อนไข
ความรู้ เป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างภูมิคุ้มกัน มันรวมถึงความรู้ทางวิชาการ ประสบการณ์ตนเอง และการเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญ ความรู้นี้ช่วยให้เราวางแผน แก้ไขปัญหา และตัดสินใจได้อย่างเหมาะสม
คุณธรรม คือ หลักการในการปฏิบัติตนด้วยความถูกต้องและความเป็นธรรม การทำงานด้วยซื่อสัตย์ ขยัน และรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตนเอง ความดีงามเหล่านี้เป็นรากฐานของความมั่นคงและความเชื่อถือในสังคม
ที่มาและพัฒนาการของเศรษฐกิจพอเพียง
แนวคิดดังกล่าวเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2517 เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงพระราชทานพระบรมราโชวาทแก่นิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พระองค์ท่านเน้นว่าการพัฒนาประเทศต้องสร้างรากฐาน “พอมี พอกิน พอใช้” เพื่อให้ประชาชนมีความมั่นคงและยั่งยืน
ในช่วงนั้นประเทศไทยใช้นโยบายลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อพัฒนาเป็นประเทศอุตสาหกรรม โดยยืมสินเชื่อจากต่างประเทศจำนวนมาก การยืมเงินนี้บังคับให้ประเทศต้องเพิ่มการส่งออกสินค้าเกษตร ส่งผลให้ประชาชนขยายพื้นที่ปลูกอย่างไม่หยุดยั้ง แม้ว่าเศรษฐกิจโตขึ้น แต่ก็เกิดผลเสีย เช่น การทำลายสิ่งแวดล้อม ปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านรายได้
ประมาณหนึ่งปีก่อนเกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง ปี พ.ศ. 2540 พระองค์ท่านได้ตักเตือนให้คนไทยเลือกความสายกลาง โดยมีพระราชดำรัสความหมายว่า “การพัฒนาให้ประชาชนมีเศรษฐกิจแบบพอมีพอกิน ไม่ได้หมายความว่าแต่ละครัวเรือนจะต้องผลิตทุกอย่างเอง แต่ควรมีความพอเพียงพอสมควรในหมู่บ้านหรืออำเภอ บางสิ่งผลิตได้มากกว่าความต้องการก็ขายได้ แต่อย่าขายไกลเท่าไร ไม่ต้องเสียค่าขนส่งมากนัก”
เมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจขึ้นจริงๆ ประชาชนจึงตระหนักถึงคุณค่าของแนวคิดนี้และเริ่มนำมาประยุกต์ใช้อย่างกว้างขวาง ในปี พ.ศ. 2549 องค์การสหประชาชาติ (UN) ได้ยกย่องปรัชญานี้และพระองค์ท่านว่าเป็น “Developer King” พร้อมมอบรางวัล Human Development Lifetime Achievement Award ด้วย
การประยุกต์ใช้เศรษฐกิจพอเพียงในภาคส่วนต่างๆ
ปรัชญานี้สามารถปรับใช้ได้ในทุกอาชีพและอุตสาหกรรม เพียงแค่ปฏิบัติตามหลัก 3 ห่วง 2 เงื่อนไข
ในด้านอุตสาหกรรมและพาณิชย์
การนำเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในกิจการต้องคำนึงถึง:
ในด้านการเกษตร
การเกษตรแบบผสมผสานและไร่นาสวนผสม เป็นการทำการเกษตรหลายประเภทในครัวเรือนเดียว เพื่อแก้ไขปัญหาเช่น ภัยแล้ง โรคระบาดพืช หรือผลผลิตลดลง ตัวอย่างเช่น ปลูกข้าว ปลูกผักสวนครัว ขุดสระเลี้ยงปลา โดยน้ำจากสระสามารถใช้รดพืชได้
การเกษตรทฤษฎีใหม่ เป็นการพัฒนาการเกษตรที่คำนึงถึงการขาดน้ำหรือพื้นที่ทำกิน โดยแบ่งที่ดินออกเป็นส่วนๆ และใช้หลักวิชาการในการคำนวณและบริหารจัดการ แบ่งออกเป็น 3 ระดับ:
การนำปรัชญานี้มาใช้ในชีวิตประจำวัน
สำหรับบุคคลและครอบครัว สามารถสร้างพื้นฐานของเศรษฐกิจพอเพียงผ่านการปฏิบัติเหล่านี้:
สรุป
เศรษฐกิจพอเพียง อยู่คู่กับชาวไทยกว่า 30 ปี โดยมีจุดหมายให้ผู้คนสร้างผลผลิตและรายได้ด้วยตนเอง พร้อมทั้งเป็นผู้บริโภคที่มีสติ หลักการนี้เป็นพื้นฐานสำคัญในการดำเนินชีวิตที่ต้องรู้จักใช้ทรัพยากรที่มีอย่างเหมาะสม เพื่อให้สามารถควบคุมการผลิต ลดความเสี่ยง และสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
ปรัชญาดังกล่าวไม่จำกัดเฉพาะเกษตรกรรมเท่านั้น สามารถปรับใช้ได้ในทุกภาคส่วน ตั้งแต่ภาคการเงิน ภาคอุตสาหกรรม อสังหาริมทรัพย์ ไปจนถึงการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ เพียงแค่ยึดหลักทางสายกลางในการดำเนินกิจการเท่านั้นเอง แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงจึงกลายเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสังคมไทย