Законы спроса и предложения: важнейшие инструменты, которые должен знать инвестор

เมื่อพูดถึงการทำนายราคาหุ้น นักลงทุนมักมองหาสิ่งที่ลึกลับหรือซับซ้อน แต่ความจริงแล้ว หลักการที่ง่ายที่สุดและมีประสิทธิภาพที่สุดก็มาจากหลักเศรษฐศาสตร์พื้นฐาน นั่นก็คือ กฎของอุปสงค์ และอุปทาน ที่ไม่ได้มีชีวิตชีวาในตำราเท่านั้น แต่ยังสามารถใช้เป็นเครื่องมือคาดการณ์แนวโน้มราคาในตลาดจริงได้

ทำไมนักลงทุนถึงต้องเข้าใจกฎของอุปสงค์ และอุปทาน

ราคาหุ้นไม่ได้พุ่งขึ้นหรือปรับลงแบบสุ่ม มันคือผลจากการปะทะกันระหว่างแรงซื้อและแรงขาย เมื่อผู้ซื้อมีจำนวนมากและยินดีซื้อในราคาสูงขึ้น ราคาก็จะเพิ่มสูงขึ้น ในทางตรงกันข้าม เมื่อผู้ขายมีจำนวนมากและต้องการขายในราคาที่ต่ำลง ราคาก็จะปรับตัวลง

แนวคิดนี้เป็นพื้นฐานของทฤษฎีเศรษฐศาสตร์เกือบทั้งหมด และอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมนักเทรดมืออาชีพในทั่วโลกจึงยังคงใช้หลักการนี้เพื่อทำความเข้าใจพฤติกรรมของตลาดและผู้บริโภค

ความต้องการซื้อ (Demand) คืออะไร

อุปสงค์ (Demand) หมายถึงปริมาณสินค้าหรือบริการที่ผู้ซื้อต้องการในแต่ละระดับราคา เมื่อเรานำจุดข้อมูลเหล่านี้มาลงบนกราฟ ก็จะได้เส้นอุปสงค์ (Demand Curve) ซึ่งแสดงความสัมพันธ์ระหว่างราคาและปริมาณที่ผู้ซื้อต้องการ

แต่ละจุดบนเส้นนี้บอกเรา 2 สิ่ง:

  • ปริมาณสินค้าที่ผู้ซื้อต้องการที่ราคาหนึ่ง ๆ
  • ราคาสูงสุดที่ผู้บริโภคยินดีจ่ายสำหรับปริมาณสินค้าที่กำหนด

หลักการพื้นฐาน: กฎของอุปสงค์

กฎของอุปสงค์ และอุปทาน ในส่วนของอุปสงค์นั้น เมื่อราคาสูงขึ้น ความต้องการซื้อจะลดลง และในทางกลับกัน กลไกนี้เกิดจากสองปัจจัยหลัก:

1) ผลทางรายได้ (Income Effect) เมื่อราคาสินค้าลดลง มูลค่าเงินของเรากลับกลายเป็นว่ามีพลังซื้อมากขึ้น ลองนึกถึงเมื่อราคากาแฟลดลง เราก็สามารถซื้อกาแฟได้มากขึ้นด้วยงบประมาณเดิม หรืออาจใช้เงินที่เหลือซื้อสิ่งอื่นด้วย

2) ผลทางการทดแทน (Substitution Effect) เมื่อราคาสินค้าปรับเปลี่ยน เราจะเทียบเคียงกับสินค้าอื่นที่ใกล้เคียง เช่น ถ้ากาแฟแพงขึ้น ผู้คนจำนวนมากอาจเปลี่ยนไปดื่มชาแทน

ปัจจัยที่ขับเคลื่อนอุปสงค์

นอกเหนือจากราคาแล้ว มีปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลต่ออุปสงค์:

  • ระดับรายได้ของผู้บริโภค
  • ราคาของสินค้าที่เกี่ยวข้อง
  • รสนิยมและความชอบของผู้บริโภค
  • จำนวนคนในตลาด
  • การคาดการเกี่ยวกับราคาในอนาคต
  • ปัจจัยฤดูกาล และเทคโนโลยีใหม่

ความต้องการขาย (Supply) คืออะไร

อุปทาน (Supply) ตรงกันข้ามกับอุปสงค์ มันหมายถึงปริมาณสินค้าที่ผู้ขายต้องการเสนอขายในแต่ละระดับราคา เส้นอุปทาน (Supply Curve) แสดงความสัมพันธ์ระหว่างราคาและปริมาณที่ผู้ขายยินดีจำหน่าย

แต่ละจุดบนเส้นอุปทาน บอกเรา:

  • ปริมาณสินค้าที่ผู้ขายต้องการขายที่ราคาหนึ่ง ๆ
  • ราคาต่ำสุดที่ผู้ขายยินดีรับเพื่อให้ได้มา (ราคาขยายตัวต่ำสุด)

หลักการพื้นฐาน: กฎของอุปทาน

ต่างจากอุปสงค์ที่มีความสัมพันธ์ผกผัน กฎของอุปสงค์ และอุปทาน ในส่วนของอุปทานนั้นทำงานในทิศทางเดียวกัน: เมื่อราคาสูงขึ้น ผู้ขายก็ต้องการขายมากขึ้น เพราะกำไรมีมากขึ้น ในทางกลับกัน เมื่อราคาลดลง ผู้ขายต้องการขายน้อยลง

ทำไมถึงเป็นแบบนี้? เพราะผู้ขายส่วนใหญ่ต้องการให้ผลกำไรรอบตัวมากที่สุด

ปัจจัยที่ขับเคลื่อนอุปทาน

ปัจจัยที่ส่งผลต่ออุปทานมีดังนี้:

  • ต้นทุนการผลิต (วัตถุดิบ แรงงาน เทคโนโลยี)
  • ราคาของสินค้าทางเลือกที่ผู้ผลิตสามารถผลิตได้
  • จำนวนของผู้แข่งขันในตลาด
  • เทคโนโลยีและนวัตกรรม
  • การคาดการหาวราคาในอนาคต
  • นโยบายภาษีและการควบคุมราคา
  • สภาพภูมิอากาศและปัจจัยภายนอก

จุดดุลยภาพ: ที่ที่ราคา “หยุด” ชั่วขณะ

ถ้าอุปสงค์เพียงอย่างเดียวและอุปทานเพียงอย่างเดียว เราก็ไม่สามารถกำหนดราคาได้ ราคาจะกำหนดตัวเองเมื่อเส้นอุปสงค์และเส้นอุปทานตัดกัน ณ จุดนั้นเรียกว่า ดุลยภาพ (Equilibrium)

ที่จุดดุลยภาพนี้:

  • ปริมาณที่ผู้ซื้อต้องการซื้อ = ปริมาณที่ผู้ขายต้องการขาย
  • ราคาไม่มีแรงกดดันให้เปลี่ยนแปลง

เมื่อหลุดออกจากจุดนี้ จะเกิดกลไกการปรับตัวโดยอัตโนมัติ:

ถ้าราคาปรับสูงขึ้นจากดุลยภาพ:

  • ผู้ขายผลิตเพิ่ม แต่ผู้ซื้อซื้อลด
  • สินค้าเหลือคงคลัง และราคาจะถูกกดให้ลงมา

ถ้าราคาปรับลดลงจากดุลยภาพ:

  • ผู้ซื้อต้องการซื้อมากขึ้น แต่ผู้ขายขายน้อยลง
  • สินค้าขาดแคลน และราคาจะถูกกดให้ขึ้นไป

กลไกนี้ทำให้ราคาค่อยๆ กลับมายังจุดดุลยภาพ

ในตลาดการเงิน: ปัจจัยที่ซับซ้อนมากขึ้น

ในตลาดหุ้นและตลาดการเงิน แรงอุปสงค์และอุปทานนั้นซับซ้อนกว่าตลาดสินค้าทั่วไปมาก

ปัจจัยทั่ว ๆ ไปที่ขับเคลื่อนอุปสงค์ในตลาดการเงิน

ปัจจัยเศรษฐกิจมหภาค:

  • อัตราดอกเบี้ย (ดอกเบี้ยต่ำ = ผู้คนหันมาลงทุนในหุ้นมากขึ้น)
  • อัตราเงินเฟ้อ
  • อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ

สภาพคล่องในระบบ:

  • ปริมาณเงินหลักเศรษฐกิจ
  • นโยบายของธนาคารกลาง

ความเชื่อมั่นของนักลงทุน:

  • การคาดการหาวผลการดำเนินงานของบริษัท
  • ข้าวสารทางการเมือง
  • การคาดการหาวเกี่ยวกับเศรษฐกิจในอนาคต

ปัจจัยที่ขับเคลื่อนอุปทานในตลาดการเงิน

การตัดสินใจของบริษัท:

  • การเพิ่มทุน (เสนอหุ้นใหม่มากขึ้น = เพิ่มอุปทาน)
  • การซื้อหุ้นคืน (ลดปริมาณหุ้นในตลาด = ลดอุปทาน)

ข้อมูลข่าวสาร:

  • การ IPO ของบริษัทใหม่
  • ประกาศและข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องกับตลาดหลักทรัพย์

สถานการณ์ทั่วไป:

  • ต้นทุนการกู้ยืมเงิน
  • สภาวะความเชื่อมั่นเพื่อการขาย

การประยุกต์ใช้ในการวิเคราะห์พื้นฐาน

เมื่อพูดถึงการวิเคราะห์พื้นฐาน แรงอุปสงค์และอุปทานสะท้อนสิ่งนี้ได้ชัดเจน:

ราคาหุ้นปรับขึ้น = อุปสงค์แรง แสดงว่าผู้ซื้อเห็นโอกาสดีในบริษัท บางทีเพราะ:

  • ข่าวข้อมูลดีเกี่ยวกับผลประกอบการ
  • การคาดการหาวการเติบโตที่ดี
  • การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่

ราคาหุ้นปรับลง = อุปทานแรง แสดงว่าผู้ขายส่วนใหญ่กำลังเทขาย บางทีเพราะ:

  • ผลประกอบการหรือการคาดการหาวลดลง
  • ข่าวข้อมูลลบจากตลาด
  • การเปลี่ยนแปลงของนโยบายที่ไม่ดี

นักวิเคราะห์พื้นฐาน ใช้การคาดการณ์เกี่ยวกับปัจจัยหลักเพื่อประเมินว่าควรจะมีแรงอุปสงค์หรืออุปทานในตลาด

การประยุกต์ใช้ในการวิเคราะห์เทคนิค

นักเทรดเทคนิคใช้ กฎของอุปสงค์ และอุปทาน ผ่านเครื่องมือและเทคนิคต่างๆ:

1) การอ่านแท่งเทียน (Candle Stick Analysis)

แท่งเทียนสีเขียว (ราคาปิด > ราคาเปิด):

  • บอกว่าแรงซื้อชนะในช่วงวันนั้น
  • อุปสงค์แรง

แท่งเทียนสีแดง (ราคาปิด < ราคาเปิด):

  • บอกว่าแรงขายชนะในช่วงวันนั้น
  • อุปทานแรง

ดฉี (Doji):

  • แรงซื้อและขายเสมอกัน
  • ไม่มีทิศทางชัดเจน

2) การศึกษาแนวโน้ม (Market Trend)

แนวโน้มขาขึ้น (Uptrend):

  • ราคาทำจุดสูงใหม่เรื่อย ๆ
  • บ่งบอกว่าอุปสงค์ยังแรงอยู่

แนวโน้มขาลง (Downtrend):

  • ราคาทำจุดต่ำใหม่เรื่อย ๆ
  • บ่งบอกว่าอุปทานยังแรงอยู่

แนวราบ (Sideways):

  • อุปสงค์และอุปทานเสมอกัน

3) แนวรับและแนวต้าน (Support & Resistance)

แนวรับ (Support):

  • จุดที่มีความต้องการซื้อ (อุปสงค์แรง)
  • นักลงทุนรอซื้อราคาลง

แนวต้าน (Resistance):

  • จุดที่มีความต้องการขาย (อุปทานแรง)
  • นักลงทุนรอขายราคาขึ้น

เทคนิค Demand Supply Zone: กรณีศึกษาเชิงปฏิบัติ

Demand Supply Zone เป็นเทคนิคยอดนิยมที่ใช้ กฎของอุปสงค์ และอุปทาน เพื่อมองหาจังหวะซื้อขายที่ดี

เทคนิคนี้มองหา “Zone” (พื้นที่) ที่มีแรงอุปสงค์หรืออุปทานที่รวมตัวกัน

4 รูปแบบหลัก:

1) DBR (Demand Zone Drop Base Rally) - จุดรับ:

  • ราคาดิ่งลงอย่างรวดเร็ว (Drop)
  • แล้วหยุดตัวและสร้างฐาน (Base)
  • สุดท้ายกลับตัวขึ้น (Rally)
  • นักเทรดเข้าซื้อที่บริเวณนี้

2) RBD (Supply Zone Rally Base Drop) - จุดต้าน:

  • ราคาวิ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว (Rally)
  • แล้วหยุดตัวและสร้างฐาน (Base)
  • สุดท้ายกลับตัวลง (Drop)
  • นักเทรดเข้าขายที่บริเวณนี้

3) RBR (Rally Base Rally) - เคลื่อนตัวต่อเนื่องขาขึ้น:

  • ราคาวิ่งขึ้น เสร็จแล้วสร้างฐาน
  • แล้ววิ่งขึ้นต่อ
  • บ่งบอกว่าอุปสงค์ยังแรงต่อ

4) DBD (Drop Base Drop) - เคลื่อนตัวต่อเนื่องขาลง:

  • ราคาดิ่งลง เสร็จแล้วสร้างฐาน
  • แล้วดิ่งลงต่อ
  • บ่งบอกว่าอุปทานยังแรงต่อ

สรุป

อุปสงค์ และอุปทาน ไม่ได้เป็นแค่ทฤษฎีที่นั่งอยู่ในตำรา มันคือพลังที่ขับเคลื่อนตลาดจริงทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นตลาดสินค้า ตลาดหุ้น หรือตลาดการเงินใดๆ

นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมักไม่ใช่คนที่ฉลาดที่สุด แต่เป็นคนที่เข้าใจหลักการพื้นฐานนี้ได้ลึกลับที่สุด และประยุกต์ใช้ได้อย่างเหมาะสม

การเรียนรู้ กฎของอุปสงค์ และอุปทาน อาจจะใช้เวลา แต่ความพยายามนี้จะช่วยให้คุณอ่านตลาดได้แม่นยำมากขึ้นในอนาคต

Посмотреть Оригинал
На этой странице может содержаться сторонний контент, который предоставляется исключительно в информационных целях (не в качестве заявлений/гарантий) и не должен рассматриваться как поддержка взглядов компании Gate или как финансовый или профессиональный совет. Подробности смотрите в разделе «Отказ от ответственности» .
  • Награда
  • комментарий
  • Репост
  • Поделиться
комментарий
0/400
Нет комментариев
  • Горячее на Gate Fun

    Подробнее
  • РК:$3.49KДержатели:1
    0.00%
  • РК:$3.51KДержатели:2
    0.00%
  • РК:$3.51KДержатели:1
    0.00%
  • РК:$3.52KДержатели:1
    0.00%
  • РК:$3.53KДержатели:1
    0.00%
  • Закрепить