fundraising-project-date

Elon Musk ได้ประกาศว่าเขาจะซื้อ FST จะมีช่วงเวลาที่เคลื่อนไหว

รายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่กำลังจะมีการเผยแพร่ในสหรัฐอเมริกานั้นไม่มีข้อสงสัยว่าจะกลายเป็นเครื่องชี้วัดทิศทางของตลาด และผลลัพธ์ของมันอาจก่อให้เกิดความผันผวนอย่างมีนัยสำคัญในตลาดการเงิน. นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า หากจำนวนการจ้างงานใหม่ต่ำกว่า 40,000 คน และอัตราการว่างงานอยู่ระหว่าง 3.9% ถึง 4.1% อาจส่งผลให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับสุขภาพเศรษฐกิจ ในกรณีนี้ นักลงทุนอาจกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวในการจ้างงานหรือการปลดพนักงาน ซึ่งอาจทำให้ตลาดหุ้นร่วงลงอย่างมาก อาจร่วงลงไปอยู่ที่ประมาณ 107600 จุด อย่างไรก็ตาม สำหรับนักลงทุนระยะยาว การปรับฐานของตลาดอาจสร้างโอกาสในการซื้อสินทรัพย์คุณภาพในราคาที่ต่ำ. ตรงกันข้าม หากจำนวนงานใหม่เพิ่มขึ้นระหว่าง 45,000 ถึง 70,000 ตำแหน่ง อัตราการว่างงานอยู่ระหว่าง 4.1% ถึง 4.2% ตลาดอาจมีแนวโน้มสูงขึ้นทั่วไป ข้อมูลดังกล่าวอาจถูกตีความว่าเป็นสภาพเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพ และอาจเพิ่มความคาดหวังเกี่ยวกับการลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดในอนาคตอันใกล้ ในกรณีนี้ ตลาดหุ้นอาจมีการปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยีและหุ้นเติบโตที่ไวต่อการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ย. มีนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าค่าดัชนีหุ้นอาจสูงขึ้นถึงประมาณ 116000 จุดในคืนนี้ แต่ในกระบวนการอาจมีความผันผวนบางอย่าง ซึ่งอาจเป็นแนวโน้มที่ขึ้นก่อนแล้วลงแล้วขึ้นอีกครั้ง. อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าสภาวะตลาดในระยะสั้นจะผันผวนเพียงใด สำหรับนักลงทุนระยะยาว สิ่งสำคัญคือการเข้าใจหลักการพื้นฐานของวัฏจักรเศรษฐกิจ: เศรษฐกิจมักจะหมุนเวียนในวัฏจักร เมื่อราคาตกมากก็จะขึ้น และเมื่อขึ้นมากก็จะตก ในปัจจุบัน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการใช้ความรู้สึกของตลาดที่ทำให้เกิดความผันผวนของราคา เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการกลับตัวของตลาดในอนาคตที่อาจเกิดขึ้น. นักลงทุนควรมีความสงบในใจและมองไปที่แนวโน้มระยะยาว แทนที่จะถูกขับเคลื่อนด้วยความผันผวนในระยะสั้น ในช่วงที่ตลาดมีความผันผวน อาจมีโอกาสการลงทุนที่ถูกประเมินค่าต่ำ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมและบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตในระยะยาว ในขณะเดียวกัน นักลงทุนก็ควรให้ความสนใจกับการกระจายการลงทุนและการจัดการความเสี่ยง เพื่อรับมือกับสถานการณ์ตลาดที่อาจเกิดขึ้นได้หลายรูปแบบ.

เมื่อใกล้ถึงช่วงสิ้นสุดของการเข้ารหัสตลาดหมีในปี 2025 ตลาดแสดงให้เห็นภาพที่เป็นเอกลักษณ์ บิทคอยน์ในฐานะที่เป็น "มาตรวัดอากาศ" ของตลาด ได้พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปลายปี 2022 และครองผลกำไรในรอบนี้ อย่างไรก็ตาม เหรียญทางเลือกส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในระดับต่ำ ราคายังคงแตกต่างจากช่วงตลาดหมีไม่มากนัก. สถานการณ์นี้ทำให้เกิดความกังวลในหมู่นักลงทุนรายย่อยจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่ถือเหรียญทางเลือกมากกว่าบิทคอยน์ ทำให้เกิดความสงสัยว่าจะพลาดโอกาสในการพุ่งขึ้นในครั้งนี้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม ตลาดสินทรัพย์คริปโตนั้นโดยพื้นฐานแล้วเป็น "กองทุน" ที่การเคลื่อนไหวในระยะสั้นจะได้รับอิทธิพลจากสถาบันขนาดใหญ่ในวอลล์สตรีทและบริษัทที่ร่ำรวย. ในระยะนี้ มีหลายองค์กรและบริษัทจดทะเบียนที่เพิ่มการถือครอง Ethereum และบิทคอยน์อย่างมาก ตัวอย่างเช่น บริษัทหนึ่งได้ซื้อ ETH จำนวน 39008 เหรียญในราคาเฉลี่ย 4531 ดอลลาร์ ทำให้ยอดถือรวมอยู่ที่ 837230 เหรียญ มูลค่าตลาดประมาณ 3.6 พันล้านดอลลาร์ บริษัทจดทะเบียนอีกแห่งยังได้เพิ่มการถือครอง BTC จำนวน 4048 เหรียญ ทำให้ยอดถือรวมอยู่ที่ 636505 เหรียญ มูลค่าเกือบ 70 พันล้านดอลลาร์ และในปีนี้จนถึงปัจจุบันมีอัตราผลตอบแทนสูงถึง 25.7% นอกจากนี้ยังมีการไหลเข้าของเงินทุนที่ชัดเจนในตลาดหลัก ๆ เช่น Binance, OKX และ Bitfinex. สภาพเศรษฐกิจมหภาคก็值得ให้ความสนใจ สหรัฐอเมริกามีปริมาณเงิน M2 สูงถึง 22.12 ล้านล้านดอลลาร์ ราคาทองคำทำสถิติสูงสุดที่ 3580 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งบ่งชี้ว่ามีการลงทุนจากเงินก้อนใหญ่ที่กำลังมองหาสินทรัพย์หลบภัย บิทคอยน์ได้ผ่านการเคลื่อนไหวในแนวนอนเป็นเวลาสัปดาห์ที่เจ็ด และกำลังจะเลือกทิศทางในเร็วๆ นี้. เอเธอเรียมเมื่อเร็วๆ นี้ได้ทะลุระดับสูงสุดที่ 4868 ในปี 2021 และได้ยืนยันการสนับสนุนหลังจากการปรับตัวลง การวิเคราะห์เชื่อว่า ขั้นตอนถัดไปอาจจะเข้าช่วง 5350 ถึง 5600 แม้ว่าแรงผลักดันของการทะลุในครั้งนี้จะไม่เท่ากับในปี 2021 แต่ก็มีความหมายสำคัญ: มันอาจบ่งบอกถึงการมาถึงของตลาดหมีเหรียญทางเลือก. ตามประสบการณ์ในอดีต เมื่อเอเธอเรียมทะลุจุดสูงสุดก่อนหน้า ประมาณหนึ่งเดือนในระบบนิเวศของมัน เหรียญทางเลือกมักจะมีการระเบิดแบบกลุ่ม นี่หมายความว่าต้นเดือนตุลาคมอาจเป็นช่วงเวลาที่น่าจับตามองในตลาดเหรียญทางเลือก. แม้ว่าตลาดเหรียญทางเลือกในปัจจุบันยังคงเงียบเหงา แต่ด้วยการแสดงที่แข็งแกร่งของสินทรัพย์คริปโตหลักและการไหลเข้าของเงินทุนจากสถาบันอย่างต่อเนื่อง เราอาจจะได้เห็นตลาดกระทิงของสินทรัพย์คริปโตที่มีความหลากหลายมากขึ้น นักลงทุนควรติดตามแนวโน้มของตลาดอย่างใกล้ชิด และจัดสรรสินทรัพย์อย่างเหมาะสมเพื่อตอบสนองต่อแนวโน้มเหรียญทางเลือกที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต.

คืนนี้ ข้อมูลการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐอเมริกาและอัตราการว่างงานซึ่งได้รับความสนใจอย่างมากกำลังจะถูกเปิดเผย สองตัวชี้วัดนี้มีผลกระทบอย่างมากต่อตลาดการเงิน นักลงทุนต่างเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด. หลังจากข้อมูลเผยแพร่แล้ว ตลาดอาจมีแนวโน้มที่แตกต่างกัน หากข้อมูลการจ้างงานนอกภาคเกษตรต่ำกว่า 40,000 ในขณะที่อัตราการว่างงานอยู่ระหว่าง 3.9% ถึง 4.1% อาจก่อให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับสภาพสุขภาพของตลาดแรงงาน ซึ่งอาจนำไปสู่การปรับตัวลงของตลาด และอาจแตะระดับใกล้ 107600 จุด. ในทางกลับกัน หากข้อมูลการจ้างงานนอกภาคเกษตรอยู่ในช่วง 45,000 ถึง 70,000 และอัตราการว่างงานอยู่ในช่วง 4.1% ถึง 4.2% ตลาดอาจมีความคาดหวังที่เพิ่มขึ้นต่อการดำเนินการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ ในกรณีนี้ นักลงทุนอาจคาดหวังว่าการลดอัตราดอกเบี้ยจะถึง 50 จุดพื้นฐาน ซึ่งจะผลักดันให้ตลาดเพิ่มสูงขึ้นถึงประมาณ 116,000 จุด จากการวิเคราะห์สภาพตลาดปัจจุบันและข้อมูลประวัติศาสตร์ ผู้เขียนคาดการณ์ว่าค่าคอมมิชชั่นในคืนนี้อาจแสดงแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นก่อนแล้วจึงลดลงและท้ายที่สุดมีการฟื้นตัว การเปลี่ยนแปลงในตลาดที่ซับซ้อนนี้สะท้อนถึงการตอบสนองที่ละเอียดอ่อนของนักลงทุนต่อข้อมูลการจ้างงาน และความไม่แน่นอนเกี่ยวกับทิศทางเศรษฐกิจในอนาคต. สิ่งที่ควรสังเกตคือ ข้อมูลการจ้างงานเป็นเพียงหนึ่งในหลายปัจจัยที่มีผลต่อตลาด นักลงทุนเมื่อทำการตัดสินใจยังต้องพิจารณาปัจจัยทางเศรษฐกิจอื่น ๆ สถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ และผลประกอบการของบริษัทในหลายด้าน ตลาดอาจมีความผันผวนในระยะสั้นอย่างรุนแรง แต่แนวโน้มในระยะยาวมักขึ้นอยู่กับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่เป็นมหภาคมากกว่า ในขณะที่สถานการณ์เศรษฐกิจโลกยังคงเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอสิ่งสําคัญคือต้องติดตามการวิเคราะห์ตลาดล่าสุดและข้อมูลเชิงลึกระดับมืออาชีพ ผู้ลงทุนควรระมัดระวังและปรับกลยุทธ์การลงทุนให้ทันท่วงทีเพื่อรับมือกับสภาวะตลาดต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น

คืนนี้เวลา 20:30 สหรัฐอเมริกาจะประกาศรายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตรในเดือนสิงหาคม ซึ่งรวมถึงข้อมูลการจ้างงาน อัตราการว่างงาน และระดับค่าแรง รายงานนี้ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญในตลาดการเงินในสัปดาห์นี้ และผลลัพธ์อาจมีผลกระทบทางอ้อมต่อทิศทางของตลาดการเข้ารหัสในเดือนกันยายน มาวิเคราะห์ข้อมูลหลักบางจุดกันเถอะ: 1. อัตราการว่างงาน: ค่าก่อนหน้านี้อยู่ที่ 4.2% คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 4.3% การเพิ่มขึ้นเล็กน้อยนี้อาจบ่งชี้ว่าตลาดแรงงานของสหรัฐกำลังเย็นตัวลง หากอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นจริงๆ ธนาคารกลางสหรัฐอาจมีแนวโน้มที่จะผ่อนคลายนโยบายการเงิน หรือแม้แต่ลดอัตราดอกเบี้ยล่วงหน้า ซึ่งจะมีผลกระทบอย่างมากต่อการเข้ารหัสเงินดิจิทัล 2. จำนวนการจ้างงานนอกภาคเกษตร: ค่าก่อนหน้านี้อยู่ที่ 73,000 คน คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 75,000 คน แม้ว่าคาดว่าจะมีการเติบโต แต่ตัวเลขนี้ยังคงอยู่ในระดับต่ำสะท้อนให้เห็นถึงความยืดหยุ่นของตลาดแรงงานที่ไม่เพียงพอ ยังไม่กลับคืนสู่เส้นทางการเติบโตที่แข็งแกร่ง. 3. ค่าเฉลี่ยเงินเดือน: อัตราการเติบโตต่อปีคาดว่าจะลดลงจาก 3.9% เป็น 3.7% โดยอัตราเดือนยังคงอยู่ที่ 0.3% การชะลอตัวของการเติบโตของเงินเดือนหมายความว่าความกดดันด้านเงินเฟ้ออาจลดลง ซึ่งอาจลดความจำเป็นในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมของเฟด. ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากข้อมูลการจ้างงานนอกภาคเกษตรต่อตลาดการเข้ารหัสสามารถแบ่งออกเป็นสองสถานการณ์: สถานการณ์ที่หนึ่ง: หากข้อมูลอ่อนกว่าคาด เช่น อัตราการว่างงานสูงกว่าคาดหรือจำนวนผู้มีงานทำต่ำกว่าคาด ธนาคารกลางสหรัฐอาจมีแนวโน้มที่จะดำเนินนโยบายที่ผ่อนคลายมากขึ้น ในกรณีนี้ ความคาดหวังของตลาดเกี่ยวกับการลดอัตราดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าลง และเงินทุนไหลเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยง รวมถึงสินทรัพย์ดิจิทัลที่เป็นการเข้ารหัสหลักอาจมีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ. สถานการณ์ที่สอง: หากข้อมูลดีกว่าที่คาดไว้ เช่น ตลาดแรงงานฟื้นตัวหรือการเติบโตของค่าแรงสูงกว่าที่คาด ตลาดอาจกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐจะรักษาท่าทีที่เข้มงวด ซึ่งอาจทำให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ส่งผลให้ตลาดการเข้ารหัสมีความกดดันในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม ในระยะยาว เนื่องจากตลาดหุ้นและพันธบัตรของสหรัฐอาจถูกกดดันจากการคาดการณ์การขึ้นอัตราดอกเบี้ย เงินทุนบางส่วนที่มองหาความปลอดภัยอาจไหลเข้าสู่ตลาดการเข้ารหัสเพื่อให้มันมีชีวิตชีวาใหม่. โดยรวมแล้ว ข้อมูลการจ้างงานนอกภาคเกษตรในวันนี้จะมีผลกระทบสำคัญต่อตลาดไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรติดตามปฏิกิริยาของตลาดหลังจากการเปิดเผยข้อมูลอย่างใกล้ชิด และปรับกลยุทธ์การลงทุนตามสถานการณ์จริง